A:CARE เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณที่จะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น

แหล่งข้อมูลสุขภาพ

a:care นำเสนอข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งช่วยคุณเข้าใจในอาการของโรคได้ดียิ่งขึ้น


การรับประทานยาอย่างถูกต้อง

การรับประทานยาให้สม่ำเสมอในทุก ๆ มื้อไม่ใช่เรื่องง่ายเลย.. a:care ช่วยติดตามให้คุณทานยาได้อย่างถูกต้อง


ความสนุกและความรู้

เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับแบบทดสอบ แบบสำรวจ และเกร็ดความรู้ใหม่ๆ ในแต่ละวัน เพื่อสะสมคะแนนแลกของรางวัล


Coming soon

บทความล่าสุด

acare_Gastro_constipation_kidney_disease

ภาวะท้องผูก เป็นปัญหาที่พบบ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง พบว่าคนไข้โรคไตมักมีภาวะท้องผูกมากถึงร้อยละ 37.3 โดยภาวะท้องผูกในผู้ป่วยโรคไตนั้น จะมีสาเหตุและปัจจัยแตกต่างกับคนทั่วไปหรือไม่ และมีวิธีจัดการอย่างไร ในบทความนี้เรามาเรียนรู้กัน1 ชนิด สาเหตุและความสำคัญของท้องผูกในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ภาวะท้องผูกเรื้อรัง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ชนิดปฐมภูมิ ได้แก่ การกลั้นการขับถ่าย การทำงานของลำไส้ที่ผิดปกติ ลำไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง และชนิดทุติยภูมิ มักเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ความผิดปกติทางเมทาบอลิซึม และการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น2 สาเหตุของภาวะท้องผูกเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคไต ได้แก่ มีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ไทรอยด์ทำงานลดลง ยาที่รับประทานเป็นประจำ เช่น ยาลดความดันโลหิตบางกลุ่ม ธาตุเหล็กบำรุงเลือด แคลเซียม ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ และยาต้านเศร้าบางกลุ่ม และสาเหตุอื่นมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การดื่มน้ำน้อย การรับประทานใยอาหารหรือไฟเบอร์น้อย เช่น ผักและผลไม้ และการไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น2 โดยจากข้อมูลการศึกษาทางวิชาการพบว่าการรักษาภาวะท้องผูกในคนไข้โรคไตนั้นมีความสำคัญ เนื่องจากพบว่าคนไข้โรคไตที่มีภาวะท้องผูกร่วมด้วยจะมีความเสี่ยงของการเป็นโรคไตระยะสุดท้าย มากกว่ากลุ่มที่ไม่มีภาวะท้องผูกสูงถึง 1.9 เท่า3 การจัดการภาวะท้องผูกในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ภาวะท้องผูกโดยทั่วไปอาจเริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น…

ทางเดินอาหาร
acare_Gastro_Laxative_addiction_thumbnail

เมื่อพูดถึงยาระบาย เราจะเห็นว่าเป็นยาที่หาได้ง่ายใช้กันบ่อยเวลาท้องผูก แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วยาระบายในท้องตลาดมีอยู่หลากหลายชนิดมาก และมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ปัจจุบันยังพบปัญหาจากการใช้ยาระบายอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้ยาระบายต่อเนื่องทุกวัน จนคนทั่วไปพูดกันติดปากว่า “ติดยาระบาย” ยาระบายมีกี่ชนิด เป็นอย่างไร ทำไมถึงติดยาระบายได้ ยาระบายที่มีใช้กันในปัจจุบันมีหลายกลุ่ม และยังมีหลายรูปแบบ เช่น ยารับประทาน ยาชง ยาเหน็บ ยาสวนทวาร ตัวอย่างยาระบายที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ● ยาระบายที่ออกฤทธิ์คล้ายไฟเบอร์ คอยอุ้มน้ำไว้ในลำไส้ เพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ยาระบายพวกนี้มักเป็นผงชงกับน้ำแล้วรับประทาน ถือเป็นยาระบายแบบอ่อน ● ยาระบายที่ดูดน้ำเข้ามาในลำไส้เพื่อทำให้อุจจาระนุ่มและลำไส้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น เช่น มิลค์ออฟแมกนีเซีย แลคทูโลส ● ยาระบายที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้โดยตรง เช่น ยาระบายมะขามแขก หากใช้ยากลุ่มนี้เป็นเวลานานจะเกิดปัญหาง่ายกว่ายากลุ่มอื่น เพราะอาจทำให้ “ลำไส้เฉื่อย” ไม่ยอมทำงานด้วยตนเอง เริ่มดื้อยาระบาย จึงต้องเพิ่มขนาดยาขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ถ่ายได้เหมือนเดิม หรือเวลาหยุดยา ลำไส้ไม่ยอมเคลื่อนไหวจึงท้องผูก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาไม่ได้ และทำให้ดูเหมือนติดยาระบายในที่สุด จัดการอย่างไรดี วิธีป้องกันการติดยาระบาย คือ ไม่ใช้ยาระบายพร่ำเพรื่อ ให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ…

ทางเดินอาหาร
acare_Gastro_food_basra

ทุกคนรู้จักอาการท้องเสียกันดีอยู่แล้ว แต่ลองมาดูความหมายของอาการท้องเสียกันดีกว่าว่าเป็นอย่างไร? โรคอุจจาระร่วงหรือท้องเสีย หมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งใน 1 วัน (หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากอย่างน้อย 1 ครั้งใน 1 วัน) หรือถ่ายมีมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง โรคอุจจาระร่วงแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ตามระยะเวลาที่เกิดอาการ คือ 1. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน คือ มีอาการท้องเสียน้อยกว่า 14 วัน สาเหตุที่พบบ่อย คือ อาหารเป็นพิษ หรือติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย 2. โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง คือ มีอาการท้องเสียมากกว่า 14 วัน การรักษาที่สำคัญ คือ ทดแทนน้ำที่สูญเสียไปโดยเน้นการให้น้ำเกลือแร่ ORS อย่างเพียงพอ ร่วมกับพิจารณาให้ยาบรรเทาอาการต่างๆ รวมถึงเรื่องของอาหารการกินในช่วงที่เกิดอาการท้องเสียก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรรู้เกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมและอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่เกิดอาการ อาหารสำหรับโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บางคนเข้าใจว่าช่วงที่เกิดอาการท้องเสียควรงดน้ำและอาหาร เพราะน้ำและอาหารอาจกระตุ้นให้ถ่ายเพิ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องงดน้ำและอาหาร เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้นไปอีก…

ทางเดินอาหาร
ท้องผูกกับการเกิดสิว

คนที่ชอบเกิดสิวบนใบหน้า หากคอยสังเกตจะเห็นเลยว่าปัจจัยหนึ่งที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว คือ อาการท้องผูก บางคนถึงขั้นว่าท้องผูกทีไรเกิดสิวตามมาทุกที ซึ่งเป็นเรื่องที่คาใจใครหลาย ๆ คน เนื่องจากไม่คิดว่าท้องผูกจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวได้เพราะอวัยวะทั้งสองก็ดูห่างไกลกัน แต่ปัจจุบันนี้มีหลายเหตุผลที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทำไมท้องผูกแล้วทำให้เกิดสิวได้ 1. ท้องผูกแล้วทำให้เกิดความเครียด บางคนอาจจะเครียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่าเป็นตัวการสำคัญของการเกิดสิว ซึ่งมักจะทำให้เป็นสิวอักเสบ สิวหัวช้าง 2. เมื่อท้องผูกทำให้เราขับของเสียออกไปไม่ได้ เกิดการคั่งค้างของของเสียในลำไส้ ซึ่งของเสียหรือสารพิษที่ตกค้างในลำไส้จะถูกดูดซึมออกมาจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อของเสียและสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด มันจะสามารถกระจายสู่ทั่วร่างกายได้ รวมทั้งผิวหนัง และผิวหนังยังเป็นอวัยวะหนึ่งที่ช่วยขับของเสียออกมา เมื่อผิวหนังสัมผัสกับของเสียหรือสารพิษก็ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวขึ้นมาได้ 3. ท้องผูกทำให้ระดับไขมันคอเลสเตอรอลสูงขึ้นได้ ซึ่งไขมันชนิดนี้ทำให้ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงขึ้นได้ ซึ่งฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นตัวที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหน้าได้ ทำให้เกิดสิวตามมา จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าอาการท้องผูกทำให้เกิดสิวได้อย่างชัดเจน ดังนั้น การขับถ่ายอย่างปกติและสม่ำเสมอจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันและรักษาสิวได้ วิธีจัดการอาการท้องผูกเพื่อลดการเกิดสิว 1. ลดความเครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดได้ทั้งอาการท้องผูกและสิว อาจใช้วิธีออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความสบายใจ 2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ลดอาหารจำพวกเบเกอรี่ ฟาสฟู๊ด และถ้าเป็นไปได้ การรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวจะได้ประโยชน์ตามมาหลายประการทีเดียว เพราะข้าวกล้องจะมีกากใยที่มากกว่าช่วยในการขับถ่าย และยังมีวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงข้าวกล้องยังมีน้ำตาลน้อยกว่าข้าวขาวอีกด้วย 3.…

ทางเดินอาหาร
THL2173012-4 EXP:(24-DEC-2025)