acare_Gastro_Laxative_addiction_thumbnail

เมื่อพูดถึงยาระบาย เราจะเห็นว่าเป็นยาที่หาได้ง่ายใช้กันบ่อยเวลาท้องผูก แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วยาระบายในท้องตลาดมีอยู่หลากหลายชนิดมาก และมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ปัจจุบันยังพบปัญหาจากการใช้ยาระบายอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้ยาระบายต่อเนื่องทุกวัน จนคนทั่วไปพูดกันติดปากว่า “ติดยาระบาย” ยาระบายมีกี่ชนิด เป็นอย่างไร ทำไมถึงติดยาระบายได้ ยาระบายที่มีใช้กันในปัจจุบันมีหลายกลุ่ม และยังมีหลายรูปแบบ เช่น ยารับประทาน ยาชง ยาเหน็บ ยาสวนทวาร ตัวอย่างยาระบายที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ● ยาระบายที่ออกฤทธิ์คล้ายไฟเบอร์ คอยอุ้มน้ำไว้ในลำไส้ เพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ยาระบายพวกนี้มักเป็นผงชงกับน้ำแล้วรับประทาน ถือเป็นยาระบายแบบอ่อน ● ยาระบายที่ดูดน้ำเข้ามาในลำไส้เพื่อทำให้อุจจาระนุ่มและลำไส้เคลื่อนตัวได้ดีขึ้น เช่น มิลค์ออฟแมกนีเซีย แลคทูโลส ● ยาระบายที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้โดยตรง เช่น ยาระบายมะขามแขก หากใช้ยากลุ่มนี้เป็นเวลานานจะเกิดปัญหาง่ายกว่ายากลุ่มอื่น เพราะอาจทำให้ “ลำไส้เฉื่อย” ไม่ยอมทำงานด้วยตนเอง เริ่มดื้อยาระบาย จึงต้องเพิ่มขนาดยาขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ถ่ายได้เหมือนเดิม หรือเวลาหยุดยา ลำไส้ไม่ยอมเคลื่อนไหวจึงท้องผูก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาไม่ได้ และทำให้ดูเหมือนติดยาระบายในที่สุด จัดการอย่างไรดี วิธีป้องกันการติดยาระบาย คือ ไม่ใช้ยาระบายพร่ำเพรื่อ ให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ…

ทางเดินอาหาร
ท้องผูกกับการเกิดสิว

คนที่ชอบเกิดสิวบนใบหน้า หากคอยสังเกตจะเห็นเลยว่าปัจจัยหนึ่งที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสิว คือ อาการท้องผูก บางคนถึงขั้นว่าท้องผูกทีไรเกิดสิวตามมาทุกที ซึ่งเป็นเรื่องที่คาใจใครหลาย ๆ คน เนื่องจากไม่คิดว่าท้องผูกจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวได้เพราะอวัยวะทั้งสองก็ดูห่างไกลกัน แต่ปัจจุบันนี้มีหลายเหตุผลที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทำไมท้องผูกแล้วทำให้เกิดสิวได้ 1. ท้องผูกแล้วทำให้เกิดความเครียด บางคนอาจจะเครียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่าเป็นตัวการสำคัญของการเกิดสิว ซึ่งมักจะทำให้เป็นสิวอักเสบ สิวหัวช้าง 2. เมื่อท้องผูกทำให้เราขับของเสียออกไปไม่ได้ เกิดการคั่งค้างของของเสียในลำไส้ ซึ่งของเสียหรือสารพิษที่ตกค้างในลำไส้จะถูกดูดซึมออกมาจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อของเสียและสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด มันจะสามารถกระจายสู่ทั่วร่างกายได้ รวมทั้งผิวหนัง และผิวหนังยังเป็นอวัยวะหนึ่งที่ช่วยขับของเสียออกมา เมื่อผิวหนังสัมผัสกับของเสียหรือสารพิษก็ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวขึ้นมาได้ 3. ท้องผูกทำให้ระดับไขมันคอเลสเตอรอลสูงขึ้นได้ ซึ่งไขมันชนิดนี้ทำให้ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนสูงขึ้นได้ ซึ่งฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นตัวที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหน้าได้ ทำให้เกิดสิวตามมา จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าอาการท้องผูกทำให้เกิดสิวได้อย่างชัดเจน ดังนั้น การขับถ่ายอย่างปกติและสม่ำเสมอจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันและรักษาสิวได้ วิธีจัดการอาการท้องผูกเพื่อลดการเกิดสิว 1. ลดความเครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดได้ทั้งอาการท้องผูกและสิว อาจใช้วิธีออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นั่งสมาธิ สวดมนต์ หรือหากิจกรรมที่ทำให้เกิดความสบายใจ 2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ลดอาหารจำพวกเบเกอรี่ ฟาสฟู๊ด และถ้าเป็นไปได้ การรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวจะได้ประโยชน์ตามมาหลายประการทีเดียว เพราะข้าวกล้องจะมีกากใยที่มากกว่าช่วยในการขับถ่าย และยังมีวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงข้าวกล้องยังมีน้ำตาลน้อยกว่าข้าวขาวอีกด้วย 3.…

ทางเดินอาหาร
สัญญาณเตือน ตับอ่อนอักเสบ

อวัยวะที่หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วมีความสำคัญต่อร่างกายมาก คือ ตับอ่อน เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นมา เช่น ตับอ่อนอักเสบ ซึ่งถือเป็นความผิดปกติของทางเดินอาหารที่รุนแรงและควรพบแพทย์โดยด่วน ก่อนอื่นมารู้จักหน้าที่ของตับอ่อนกันก่อน ตับอ่อนทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์ที่สำคัญหลายชนิดเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร และยังเป็นอวัยวะที่สร้างอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้เหมาะสม ไม่ให้มีระดับน้ำตาลในเลือดที่มากเกินไป ดังนั้น เมื่อตับอ่อนทำงานผิดปกติขึ้นมา หน้าที่เหล่านี้จะบกพร่องและเกิดผลเสียต่อร่างกาย ความผิดปกติที่พบบ่อยที่สุดของตับอ่อน คือ ภาวะตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ คืออะไร ตับอ่อนอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเนื้อตับอ่อน พบได้บ่อยในผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง หรือคนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน และตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง สัญญาณอันตรายของตับอ่อนอักเสบ อาการหรือสัญญาณอันตรายที่อาจต้องนึกถึงตับอ่อนอักเสบ ได้แก่ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการ 1. ปวดท้องอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน อาจปวดร้าวไปด้านข้างหรือด้านหลัง ปวดอยู่นานหลายวัน 2. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ลำไส้ไม่ค่อยเคลื่อนไหวเพราะขาดเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารจากตับอ่อน 3. มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน กระสับกระส่าย ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง จะมีอาการคล้าย ๆ…

ทางเดินอาหาร
ท้องผูกขณะตั้งครรภ์

ท้องผูกขณะตั้งครรภ์เป็นปัญหาทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ ทำให้อึดอัดแน่นท้อง ไม่สบายตัว ในบางรายเป็นมากจนเกิดความรู้สึกทรมาน เครียด และทำให้คุณภาพชีวิตลดลงได้อีกด้วย บางครั้งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ริดสีดวงทวาร ดังนั้น เราจึงต้องรู้วิธีป้องกันและรักษาภาวะท้องผูกขณะตั้งครรภ์อย่างถูกวิธี ท้องผูกขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุที่ทำให้คุณแม่ท้องผูกขณะตั้งครรภ์ คือ 1. ในช่วงที่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก จะมีการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อลำไส้คลายตัว ลำไส้จึงเคลื่อนไหวช้า จึงขับอุจจาระออกมาได้ลดลง 2. มดลูกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ไปเบียดลำไส้จนโพรงลำไส้แคบลงและขับอุจจาระออกได้ยาก 3. วิตามินหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดที่คุณแม่ใช้บำรุงก็อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เช่น แคลเซียม 4. ภาวะเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท้องผูกได้ ท้องผูกขณะตั้งครรภ์สำคัญอย่างไร อันตรายหรือไม่ อาการท้องผูกทั่วไปในขณะตั้งครรภ์มักไม่เกิดอันตรายร้ายแรงต่อคุณแม่หรือเด็กในครรภ์ อย่างไรก็ตาม การปล่อยไว้โดยไม่แก้ไขอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ริดสีดวงทวารหรือลำไส้อุดตัน หรือบางครั้งอาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ ที่รุนแรงได้ จึงควรหมั่นสังเกตตนเองและไม่นิ่งนอนใจกับอาการที่เกิดขึ้น จะจัดการภาวะท้องผูกขณะตั้งครรภ์อย่างไรดี การรักษาภาวะท้องผูกขณะตั้งครรภ์จะเน้นถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารให้เหมาะสม ดังนี้ 1. รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น อาหารที่มีกากใยสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ (มะละกอ กล้วย ส้ม…

ทางเดินอาหาร
Gastro_office_worker_irritable_bowel_IBS_thumbnail

โรคลำไส้แปรปรวน หรือเรียกสั้น ๆ ในทางการแพทย์ว่าโรคไอบีเอส (IBS: irritable bowel syndrome) เป็นโรคที่มีการทำงานผิดปกติในทางเดินอาหารโดยเฉพาะที่ลำไส้ แต่ไม่พบความผิดปกติทางโครงสร้างหรือพยาธิสภาพในระบบทางเดินอาหาร เป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ความเป็นจริงแล้วโรคลำไส้แปรปรวนพบได้บ่อย ในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปพบได้ถึง 10-20 % ส่วนในประชากรไทยพบประมาณ 7 % แต่เนื่องจากอาการของโรคมีได้หลากหลายและไม่เฉพาะเจาะจง จึงพบว่ามีเพียง 15 % ของผู้ป่วยทั้งหมดที่มาพบแพทย์ ปัจจุบันผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนจึงยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดความรำคาญใจและกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก มีสาเหตุมาจากอะไร  ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอน แต่สาเหตุหรือปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้แปรปรวน ได้แก่ 1. การเคลื่อนไหวหรือการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องผูก หรือท้องเสียได้ 2. ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้ามากผิดปกติ หรือพูดง่าย ๆ ว่าลำไส้ไวต่อตัวกระตุ้นที่มากกว่าปกติ เช่น หลังรับประทานอาหาร เมื่ออาหารลงมาสู่ลำไส้ ลำไส้มีการตอบสนองที่มากกว่าปกติ จึงมีการบีบตัวและเคลื่อนตัวมากขึ้น ทำให้ปวดท้องและท้องเสียตามมาได้ 3. ความเครียด หรือภาวะทางจิตเวช ก็พบว่าเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้แปรปรวนได้ เนื่องจากสมองและทางเดินอาหารมีการทำงานที่เชื่อมโยงกัน จะสังเกตเห็นว่าเวลาที่เราเครียดมักพบอาการปวดท้องหรือความผิดปกติในการขับถ่ายได้ง่าย…

ทางเดินอาหาร
acare_Vertigo_Prepare-meet-doctor

ทำไมการปรึกษาแพทย์จึงสำคัญ?หากคุณมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ ขั้นตอนแรกซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการจัดการอาการต่าง ๆ เพื่อให้อาการของคุณดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อที่จะจัดการโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องพึงสังเกตอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เราควรเตรียมตัวเพื่อนัดพบแพทย์อย่างไร? หากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของคุณ กรุณาปรึกษาแพทย์ทันที แจ้งอาการ และพิจารณาว่าอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนกระตุ้นความเครียด ความหงุดหงิด ความกลัว หรือการที่คุณรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่ 2. ประวัติทางการแพทย์ นอกจากนี้ แพทย์อาจสอบถามประวัติทางการแพทย์ของคุณ ซึ่งรวมถึง2 ข้อแนะนำ: ก่อนที่จะนัดพบแพทย์ คุณอาจจดบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่แพทย์อาจสอบถามให้ได้โดยละเอียดที่สุด แพทย์สาขาใดที่เราควรพบ? การปรึกษาแพทย์เป็นขั้นตอนแรกของการวินิจฉัยอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนของคุณ ในกรณีที่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนหลายครั้ง กรุณาติดต่อพบแพทย์โดยเร็วที่สุด References

สมอง
acare_Vertigo_how_long_last_vertigo_does

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนสามารถเกิดขึ้นได้นานตั้งแต่หลายวินาทีจนถึงหลายสัปดาห์โดยขึ้นอยู่กับอาการที่เกิดร่วมด้วย1 แน่นอนว่าสาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดระยะเวลาในการเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนเป็นสาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบได้มากที่สุด ผู้ป่วยมักรู้สึกว่ามีอาการเวียนศีรษะเมื่อเอียงศีรษะไปในทิศทางตามแรงโน้มถ่วง โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบช่วงสั้น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น2 โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนซ้ำหลายครั้งและตามมาด้วยอาการได้ยินเสียงรบกวนหรือรู้สึกถึงแรงดันภายในหู อาจเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ในกรณีนี้ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจะเกิดขึ้นได้นานตั้งแต่ 20 นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง2 อาการเวียนศีรษะจากไมเกรน อาการมองเห็นภาพพร่ามัว คลื่นไส้ และมีความอ่อนไหวต่อแสงและเสียงมากขึ้น อาจเกิดจากอาการเวียนศีรษะจากไมเกรน3 นอกจากนี้ อาการเวียนศีรษะจากไมเกรนอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรงซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้นานหลายนาที หลายชั่วโมง หรือหลายวัน2 โรคประสาทหูชั้นในอักเสบ โรคประสาทหูชั้นในอักเสบมักมีสาเหตุจากการติดเชื้อในหูชั้นใน ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีอาการเวียนศีรษะได้นานหลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน โดยมีอาการรุนแรงที่สุดในช่วงระหว่าง 24-48 ชั่วโมง4 เช่น อาการคลื่นไส้ และปัญหาการทรงตัวแม้จะหลับตา แต่ผู้ป่วยจะยังคงรู้สึกว่ามีอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรงและจะรู้สึกแย่ลงเมื่อเอียงศีรษะ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอย่างรุนแรงเป็นกรณีที่พบได้ยาก แต่อาการต่าง ๆ อาจคงอยู่นานหลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับการรักษา5, 6 การออกกำลังกายช่วยป้องกันและลดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้ หากคุณมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน คุณต้องพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นกับคุณ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอาจถูกกระตุ้นได้หลายทาง และแพทย์ของคุณเป็นบุคคลที่จะประเมินความเสี่ยงและช่วยจัดการอาการเหล่านี้ได้ดีที่สุด References

สมอง
acare_Vertigo_condition

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเป็นอาการหนึ่งของการเวียนศีรษะ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนคือ การที่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยมักอธิบายว่าตนเองรู้สึกว่ามีอาการเวียนศีรษะ และบางครั้งอธิบายว่ารู้สึกโลกเอียง อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนสามารถเกิดร่วมกับภาวะเสียการทรงตัว หน้ามืด และอาการวิงเวียนศีรษะ1 ภาวะหน้ามืดหมายรวมถึงอาการวิงเวียนศีรษะหรือความรู้สึกว่ากำลังจะหมดสติ1 เนื่องจากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียการทรงตัว ซึ่งผลของการสูญเสียการทรงตัวที่พบได้บ่อยครั้งมากที่สุดประการหนึ่งคืออาจทำให้ล้มได้ อาการเสียการทรงตัวที่หมายถึงการรู้สึกเสียสมดุล โซเซ และไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้ คืออาการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน1 อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอาจมีหลายรูปแบบ2 ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้มีความรู้สึกว่าเวียนศีรษะ ตัวสั่น หรือการทรงตัวผิดปกติไม่นาน แต่อาการดังกล่าวอาจส่งผลร้ายแรงได้ ความกลัวว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นซ้ำจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรทั่วไปได้ เช่น การขับรถ และการข้ามถนน สาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนมักเกิดจากความผิดปกติในหูชั้นใน หากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในและโครงสร้างรอบหูชั้นใน อาการดังกล่าวจะเรียกว่าอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย3 ทั้งนี้ ประเภทของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลายที่พบได้มากที่สุดมีดังนี้4 นอกจากนี้ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนทำให้เกิดภาวะต่าง ๆ มากมายซึ่งบางกรณีอาจเป็นอันตราย หากคุณมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ขั้นตอนแรกซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ การปรึกษาปัญหานี้กับแพทย์ซึ่งเป็นบุคคลที่จะหาสาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนและช่วยคุณป้องกันไม่ให้เกิดอาการอีกในอนาคตได้ดีที่สุด! อาการที่พบเมื่อมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน โดยปกติแล้ว อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจะแสดงอาการต่อไปนี้5 มีการออกกำลังกายหลายอย่าง ที่สามารถช่วยลดการเกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนและช่วยลดความถี่ในการเกิดอาการได้ การออกกำลังกายในท่านั่งและยืน และการเดินที่เกี่ยวกับการขยับศีรษะและดวงตาช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้6 คุณควรขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยทันที ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เช่น อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เนื่องจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการล้ม อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนจึงมีผลกระทบด้านจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอาจทำให้เกิดความวิตกและความกังวลเนื่องจากความกลัวที่จะล้ม และความอ่อนเพลีย ซึ่งเกิดจากการไม่สามารถคาดเดาและควบคุมการเกิดอาการได้…

สมอง